การดูแลรักษาที่นอน

ก่อนอื่นต้องดูรูปแบบที่นอนก่อนว่าเป็นแบบใด ปัจจุบัน ที่นอนมีอยู่ 3 แบบ คือ

1. ที่นอนที่ออกแบบเพื่อให้ใช้งานได้ 2 ด้าน โดยทั้ง 2 ด้านมีคุณสมบัติเหมือนกัน 
2. ที่นอนที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานด้านเดียวเท่านั้น
3. ที่นอนที่ออกแบบเพื่อให้ใช้งานได้ 2 ด้าน โดยทั้ง 2 ด้านมีคุณสมบัติต่างกัน (เช่น ผิวหน้านุ่ม-ด้านหลังแน่น) 

** ดังนั้นการพลิกกลับด้านที่นอนจะใช้ได้เฉพาะกับที่นอนแบบแรกเท่านั้น คือ ที่นอนที่ออกแบบเพื่อให้ใช้งานได้ 2 ด้าน โดยทั้ง 2 ด้านมีคุณสมบัติเหมือนกัน เท่านั้น 

ส่วนแบบที่ 2 ที่นอนที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานด้านเดียว ก็จะไม่สามารถพลิกกลับเพื่อนอนอีกด้านได้

และสำหรับแบบที่ 3 ที่นอนที่ออกแบบเพื่อให้ใช้งานได้ 2 ด้าน แต่ทั้ง 2 ด้านมีคุณสมบัติต่างกัน เป็นกรณีพิเศษที่ลูกค้าทำได้ หากมีความชอบความนุ่มแน่นของอีกด้านซึ่งที่นอนแต่ละแบบ ได้มีการคิดและออกแบบมาอย่างดีให้มีคุณสมบัติที่ต่างกัน ดังนั้นไม่จริงที่ว่าที่นอนได้ด้านเดียวจะไม่ดีเท่าที่นอนที่นอนได้ 2 ด้าน 

        การกลับด้านที่นอน คือการดูแลรักษาและยืดระยะเวลาการใช้งานให้นานขึ้น แต่หากที่นอนมีปัญหาแล้ว การกลับด้านที่นอนจะไม่สามารถช่วยได้ อธิบายคือ หากหน้า A ยุบ หรือ ยวบ ตรงไหน หากพลิกกลับด้าน หน้า B ก็จะ ยุบหรือยวบ ตรงที่เดียวกัน  ดังนั้น ถ้าหากเกิดปัญหาแล้วลูกค้าสามารถแจ้งเคลมกับบริษัทที่นอนหรือตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ได้ทุกที่ ถ้าสินค้ายังอยู่ในระยะเวลารับประกัน บริษัทจะทำการมาตรวจสอบและแก้ไขปัญหา ซึ่งระยะเวลาโดยปกติจะใช้เวลาไม่นาน แต่ก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท  

 


 

  
         วิธีนี้จำเป็นกับทุกรุ่นและทุกแบรนด์ ไม่ใช่แค่ช่วยให้อากาศในที่นอนถ่ายเทได้ดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยทำให้ไม่เกิดเสียงที่น่ารำคาญตอนนอน ที่สำคัญคือ เรื่องผิวสัมผัสของที่นอน หากยังมีพลาสติกหุ้มอยู่ การยืดหยุ่นของตัวที่นอนและผิวหน้าของที่นอนจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็น 50-60% รวมถึงจะไม่สบายตัวเนื่องจากอากาศไม่ถ่ายเท ทำให้เวลานอนลงไปจะรู้สึกร้อน และมีเหงื่อออกเวลานอนเวลานานๆอีกด้วย
 
 

  
 
 
         ผ้ารองกันเปื้อน คือ ผ้าที่ใช้คลุมที่นอน ก่อนที่จะใส่ผ้าปูที่นอน ซึ่งสามารถถอดซักได้ ผ้ารองกันเปื้อนจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ที่นอนเก่าจากการสะสมฝุ่นและเกิดคราบเหลืองจากเหงื่อ หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ รวมถึงป้องกันผ้าหุ้มที่นอนเปื่อยหรือขาด เนื่องจากเหงื่อของผู้นอนที่สะสมเป็นเวลานานเพราะแค่ผ้าปูที่นอนไม่เพียงพอต่อการป้องกันผิวที่นอนจากสิ่งต่างๆได้

         นอกจากนั้นผ้ารองกันเปื้อนยังช่วยป้องกันตัวไรฝุ่นอีกชั้นด้วย
สำคัญมากสำหรับลูกค้าที่ต้องการเน้นเรื่องภูมิแพ้ ลูกค้าหลายๆท่านอาจจะเคยเห็นคำแนะนำที่ว่าคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ถ้าใช้ที่นอนเส้นใยธรรมชาติ ควรใช้ปลอกที่นอนพลาสติกหรือไวนิลหุ้ม จากนั้นปูทับด้วยผ้าปูที่นอนอีกชั้นซึ่งช่วยได้จริง แต่ปัญหาจะเหมือนที่กล่าวไปตอนต้นกรณีที่ไม่แกะพลาสติกหุ้มที่นอน คือนอนลงไปแล้วจะร้อน และไม่สบายตัว  ดังนั้นสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ นอกจากห้องนอนที่ต้องสะอาดอยู่เสมอแล้ว ผ้ารองกันเปื้อนจะสามารถช่วยในส่วนของที่นอนได้อีกขั้น ลูกค้าจะต้องซักและทำความสะอาดบ่อยๆ ทั้งผ้าปูที่นอน ผ้ารองกันเปื้อน ปลอกหมอนนอน ปลอกหมอนข้างทุกอย่าง รวมถึงผ้าห่ม ไม่ว่าที่นอนจะราคาเท่าไหร่หรือคุณสมบัติดีแค่ไหน หากไม่ดูแลก็เป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่นและเชื้อโรคได้เช่นกัน
 
 


 
  
          จริงๆแล้วทุกครั้งเวลาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน และผ้ารองกันเปื้อน ก็ถือว่าเราผึ่งที่นอนอยู่แล้ว เพราะเวลาเราเปลี่ยนผ้าปูก็ใช้เวลาในการเปลี่ยนพอสมควรอยู่แล้ว แต่อาจจะทิ้งระยะเวลาก่อนปูผ้าปูใหม่นานเพิ่มขึ้นหน่อย เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทไปในตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความชื้นในห้องนอน รวมถึงเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆด้วย เช่น ถ้าห้องชื้นหรือทำน้ำหกลงบนตัวที่นอน ก็อาจจะต้องทำทุกๆสัปดาห์จะช่วยให้ที่นอนของเราไม่มีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์อย่างแน่นอน
 
 




 
          ข้อนี้จะใช้ได้กับบางรุ่นบางแบรนด์เท่านั้น เพราะบางรุ่นมีส่วนผสมของยางพารา หรือ Memory foam ถ้าปล่อยให้แดดที่แรงเกินไปเจอที่นอนแบบตรงๆ เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงหรือถึงชั่วโมง อาจทำให้ยางพาราและชั้น Memory foam มีปัญหาและอาจเสื่อมสภาพได้ โดยเฉพาะที่นอนยางพาราทั้งก้อนหรือที่นอน Memory foam ทั้งก้อนจะทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้น (กรณีนี้แตกต่างจากกรณีที่ห้องมีอุณหภูมิสูงปกติ)
 
 
 
 
  
         หากที่นอนของเรามีรอยเปื้อน ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำสบู่ขัดที่รอยเปื้อนเบาๆ จากนั้นควรปล่อยไว้ให้แห้งสนิทก่อนปูผ้าปูที่นอน วิธีนี้จะช่วยให้รอยคราบจางลงได้ แต่อาจไม่สามารถทำความสะอาดออกได้ทั้งหมด 100%  ดังนั้นเราจึงควรต้องป้องกันการเปื้อนให้มากที่สุด วิธีป้องกันดีที่สุดคือการใช้ผ้ารองกันเปื้อน 
 
 


 
  
          สำหรับที่นอนและฐานรองทุกรุ่นทุกแบรนด์ เราจำเป็นต้องตรวจสอบสภาพเตียงหรือฐานรองให้สมดุลอยู่เสมอ เนื่องจากฐานรองจะส่งผลถึงตัวที่นอนโดยตรง หากพื้นล่างไม่ได้สมดุล มีการยวบ หรือยุบ จะทำให้ที่นอนยวบหรือยุบตามไปด้วย และอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ ฐานรองเตียง มีหลากหลายรูปแบบมาก ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญในการเลือกฐานรองหรือเตียงด้วยเช่นกัน
 
 

 
 
 
         เรื่องนี้สำคัญสำหรับที่นอนทุกรุ่นทุกแบรนด์ ทั่วไปแล้วสปริงที่นอนความหนาอยู่ที่ประมาณ 0.9 - 2.4 มิลลิเมตร แตกต่างกันตามรุ่นและแบรนด์ การทำงานของระบบสปริงจะทำงานเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงไม่สามารถรับน้ำหนักของคน 1 คนได้เพียงสปริงไม่กี่ตัว อย่างเช่น เวลานั่งหรือนอน สปริงโดยทั่วไปในการรับน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 15-30 ตัวที่ช่วยในการพยุงร่างกาย (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่น แบรนด์ของที่นอน และน้ำหนักตัวของผู้นั่งหรือผู้นอน) แต่พอเป็น การยืนหรือกระโดดนที่นอน สปริงในการรับน้ำหนักจะอยู่ที่ 2-6 ตัว ที่จะต้องรับแรงกดทับที่มากขึ้นกว่าปกติอีกด้วยจึงอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ ทั้งกรณีสปริงล้ม หัก หรือเสียประสิทธิภาพ ส่งผลให้ที่นอนยวบได้
 
         ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะยืน เหยียบ หรือกระโดดบนที่นอน 
สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็ก ที่อาจจะมีการกระโดดจริงๆ เลี่ยงไม่ได้ นะนำให้เลือกที่นอนที่ไม่ใช่สปริง เช่น ที่นอนยางพารา หรือที่นอนยางพาราสังเคราะห์ Eco latex ความรู้สึกในการนอนจะคล้ายๆสปริง แต่ต่างกับสปริงตรงที่ไม่เด้ง และเวลานอน 2 คน การพลิกตัวของอีกคนจะไม่สะเทือนถึงอีกคน รวมถึง ปัญหาสปริงล้มหรือหัก ก็ไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
 
 

 
 
 
          จริงๆแล้วที่นอนนั้นสามารถ พับได้ นะครับ แต่จะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของที่นอนในรุ่นนั้นๆ ที่นอนที่ไม่ใช่สปริงสามารถพับงอได้มากกว่าที่นอนสปริง ที่นอนบางรุ่นที่มีการใส่ตัวข้อต่อพับก็สามารถพับได้ ส่วนที่นอนสปริงในปัจจุบันได้มีการพัฒนามามากแล้ว จึงสามารถพับงอได้ระดับหนึ่งจนถึงรูปตัว U แล้วแต่รุ่น แต่ต้องภายในระยะเวลาไม่นานเกินไปเพื่อให้สปริงคืนรูปแบบเดิมได้ แต่ทั้งนี้ ควรให้ผู้ชำนาญจัดการทำเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
 
 

 
 
  
         ที่นอนในแต่ละรุ่นมีการออกแบบให้เหมาะที่จะ วางบนพื้นผิวราบ ไม่ได้จำกัดแค่ต้องวางบนเตียงหรือฐานรองเท่านั้น แค่วางบนอะไรก็ได้ที่เป็นพื้นเรียบ และแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักได้ แต่ ถ้าที่นอนวางบนเตียงที่เป็นพื้นไม้แผ่นเต็ม ๆ จะให้ความรู้สึกที่นิ่งและแน่น ซึ่งดีที่สุด แต่ถ้าเตียงเป็น พื้นไม้ระแนง หรือฐานรองสปริง ความรู้สึกในการนอนของที่นอนรุ่นนั้นๆ จะนุ่มขึ้นอีก 15-30% จากสเป็กเดิมของที่นอน ที่นุ่มนั้นขึ้นไม่ใช่เพราะสปริงของที่นอนยืดหยุ่นมากกว่าเดิม แต่ฐานรอง ทำให้ที่นอนเด้งมากขึ้น ทั้งนี้ก็อยู่ที่ความชอบของผู้นอนแต่ละคน
 
ดังนั้นที่ว่า "ซื้อที่นอนแบรนด์ไหน ต้องซื้อเตียงแบรนด์นั้น เพราะฐานรองจะทำงานควบคู่กับที่นอนได้ดีและจะช่วยให้อายุการใช้งานของที่นอนนานขึ้น" จึงไม่จำเป็น
การรับประกันตัวที่นอนไม่ได้เพิ่มระยะเวลาขึ้นเช่นกัน  แต่หากชอบในรูปแบบหัวเตียง หรือ Design ของแบรนด์นั้นๆ และรับราคาได้ ก็สามารถซื้อได้เช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำคัญในการเลือกรูปแบบเตียงหรือฐานรองยังคงสำคัญ และมองข้ามไม่ได้
 
 
 

  

          มาตรฐานที่นอนทั่วไปจะมีอายุการใช้งานระหว่าง 5-10 ปี ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและการใช้ที่นอนอย่างถูกต้องและเหมาะสม
ที่นอนแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ มีระยะเวลาการรับประกันที่ต่างกัน บางรุ่น 10 ปี 12 ปี 15 ปี บางรุ่น18-20 ปี  ไม่ได้หมายความว่าอายุการใช้งานที่เหมาะสมคือ 5-10 ปี แต่จากที่ศึกษามาจากผู้รู้หลายๆท่าน ผสมกับประสบการณ์ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ที่ผ่านมา พบว่าที่นอน 1 หลัง อายุการใช้งานที่คุ้มค่า จริงๆอยู่ที่ประมาณ 70-80% ของระยะเวลารับประกัน ซึ่งเหตุผลอาจไม่ได้มาจากการเสื่อมของที่นอน แต่เป็น อายุและสภาพร่างกายของผู้นอน เมื่อผู้นอนมีอายุที่เปลี่ยนแปลงไป สภาพร่างกายเปลี่ยน การนอนนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามอายุเช่นกัน ที่นอนที่เหมาะสมที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายจึงเปลี่ยนแปลงไป การนอนที่นอนเหมือนเดิมแต่ความรู้สึกของตัวผู้นอนอาจแตกต่างจากเดิม ซึ่งสามารถส่งผลต่อสุขภาพได้

 

 

 

 

 

 

Visitors: 582,265